Monday, 13 August 2012

การใชัหลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธในการจัดการบริหารการผลิตข้าวเพื่อต่อสู้กับระบบทุนนิยมแบบยั่งยืนของชาวนาไทย

การใชัหลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธในการจัดการบริหารการผลิตข้าวเพื่อต่อสู้กับระบบทุนนิยมแบบยั่งยืนของชาวนาไทย

   
ที่มาและความสำคัญของปัญหาข้าวกับชาวนาไทย      

                ข้าวนั้นอยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลาช้านานเพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองเกษตรผลิตข้าวเลี้ยงชาวโลกมาเป็นเวลานับร้อยๆปีแต่ก็เป็นที่น่าสังเกตุว่าทำไมชาวนาถึงยากจนอยู่จนถึงทุกวันนี้ซึ่งเป็นโจทย์ที่น่าสังสัยและน่าคิดเป็นอย่างมากถ้านับไปแล้ว(ปี 2549/2550       สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ )ประชากรประมาณ 36.06%(22.723885) ล้านคน ของประชากรทั้งหมดอยู่ในภาคเกษตรถือว่ามีจำนวนมากทีเดียวที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติผลิตข้าวเลี้ยงชาวโลกเพื่อให้อยู่รอดจนถึงปัจจุบันแต่ชาวนาไม่เคยมีโอกาสในการกำหนดราคาข้าวได้เองเลย ผมจำได้ว่าเมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่ผ่านมาครั้งยังเป็นเด็กก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำนาเราทำแบบเกษตรธรรมชาติไม่มีสารเคมีและเทคโนโลยี่เข้ามาช่วยแต่เรามีควายผู้ที่ซื่อสัตย์ได้ช่วยเราทำนามาตลอดทำตามมีตามเกิดตามธรรมชาติปีไหนฝนตกเราก็ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยปีไหนฝนไม่ตกเราก็อดอยาก เราขายข้าวเปลือกได้แค่กิโลกรัมละ 50 สตางค์และต้องหาบไปขายด้วยการเดินท้าวกับพ่อค้าหรือโรงสีในเมืองที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านด้วยระยะทาง ถึง 30 กิโลเมตร ข้าวในสมัยนั้นจะมีกลิ่นหอมมาก(ข้าวหอมมะลิ)แม้เพียงแค่เดินผ่านต้นกล้าก็ยังหอมเลยผมจำได้ว่าเมล็ดข้าวเปลือกเมื่อก่อนมีรูปร่างโค้งงอที่สวยมากไม่เหมือนปัจจุบันครับซึ่งได้กลายพันธ์ไปแล้วและเมื่อก่อนชาวนาจะหุงข้าวด้วยหม้อดินมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากทีเดียวปัจจุบันผมได้กลับไปบ้านเกิดในวันสาร์ทไทยที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อ 14 ตุลาคม 2555 และได้สังเกตุเห็นว่าข้าวไม่มีกลิ่นหอมเหมือนเมื่อก่อนแล้วพี่สาวบอกว่าข้าวหอมมะลิมันได้กลายพันธ์ไปแล้วเพราะว่าเดียวชาวบ้านได้ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติหายไปหมดแม้แต่ปลาตามธรรมชาติในท้องนาก็มีน้อยมากและไม่มีกลิ่นหอมเหมือนเมื่อก่อน สภาพธรรมชาติได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อก่อนน้ำตามท้องนาก็ยังดื่มกินได้เลย 40 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าเราจะขายข้าวได้ กิโลกรัมละ 50 สตางค์แต่ชาวนาก็อยู่เย็นเป็นสุข เพราะเรามีต้นทุนการผลิตน้อยมากเราใช้แรงงานทั้งหมดและชาวบ้านก็มีประเพณีลงแขกทุกๆปีคือเราช่วยกันไปช่วยกันมากว่าจะเกี่ยวข้าวเสร็จแต่ละฤดูกาลก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนแต่เดียวนี้เขาทำวันเดียวเสร็จ สมัยก่อนเกษตรกรไม่มีหนี้สิน ไม่มีสารเคมีมาเกี่ยวข้องอาหารก็หาได้จากธรรมชาติพืชผักต่างๆมีตามท้องนาเยอะแยะไปหมดไม่อดอยาก จริงๆแล้ววิถีดั่งเดิมของเกษตรกรก็คือ การทำการเกษตรแบบเกษตรอินทรีย์ด้วยหลักปรัชญาแบบเศรษฐกิจพอเพียง ดีๆนี้เองแต่เทคโนโลยีได้เข้ามาทำลายไปหมด เดียวนี้แม้ว่าข้าวเปลือกจะกิโลกรัมละ 15-20 บาท แต่เกษตรกรก็ยังมีหนี้สินอยู่แบบไม่จบสิ้นเป็นเพราะเหตุผลใด พอทีจะอธิบายเป็นข้อๆพอสังเขบได้ดังนี้
         1 สาเหตุหลักมาจากตัวเกษตรกรเองพากันทิ้งวิถีชีวิตแบบดั่งเดิมหันเข้ามาหาเทคโนโลยี่กันหมดทำให้เข้าทางนายทุนพอดีซึ่งเขาวางแผน รวมหัวกับนักการเมืองและขุนนางมาเป็นเวลานานแล้วในการกำหนดราคาและกลไกของตลาดรวมทั้งอำนาจผูกขาดอยู่กับพวกเขาทั้งหมดแม้แต่ตัวแทนของเกษตรกรเองที่เข้าไปนั่งอยู่ในสภาการเกษตรหรือสมาคมของเกษตรกรต่างๆล้วนแต่เป็นต้วแทนของพวกเขาทั้งหมดถามว่าพวกคนเหล่านี้เคยทำนาปลูกข้าวไหมหรือเคยจับคันไถๆนาด้วยควายไหมปรากฎว่าไม่เคยสักคนเลยแล้วชาวนาจะฝากความหวังไว้กับตัวแทนเหล่านี้ได้อย่างไร
        2 เกษตรกรไม่มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดราคาตามต้นทุนที่แท้จริงด้วยตนเองเพราะเกษตรกรรวมตัวกันไม่ติดขาดความเข็มแข็งในการผนึกกำลังในการสร้างอำนาจต่อรองต่อพ่อค้าทำให้พ่อค้ามีอิทธิพลในการสร้างพลังอำนาจต่อรองเป็นอย่างมากในขณะเดียวกันบทบาททางการเมืองในการกำหนดนโยบายไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติก็เป็นคนของระบบทุนนิยมทั้งหมดโจทย์ที่สำคัญของข้อนี้ในเมื่อเกษตรกรเองมีฐานด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 50% ของประชากรทั้งประเทศทำไมเกษตรกรไม่รวมตัวกันตั้งพรรคการเมืองเป็นของตนเองเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในระดับชาติ
        3 เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลเหนือระดับจิตใจของเกษตรจนหมดทำให้เกิดกิเลสตัณหามีความอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขาอยากทำงานให้เสร็จเร็วๆก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี่เหล่านั้นทั้งๆที่รายได้น้อยกว่ารายจ่ายถึง 1ใน 3 ในที่สุดก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมาสนองปัจจัยเหล่านั้นทำให้มีปัญหาหนี้สินแบบข้ามปีข้ามฤดูกาลผลิตโดยไม่มีวันจบสิ้นเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็จะมีนายทุน ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช รถจักรยานยนต์นายทุนเงินกู้ตามไปหักถึงที่แล้ววิถ๊ชีวิตจะเป็นอยู่อย่างไรต่อไป
        4 ปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและพื้นที่เพาะปลูก
        5 ปัญหาการจัดการน้ำและระบบชลประทาน
        6 ปัญหาแรงงานภาคเกษตรขาดแคลน
        7 ปัญหาระบบการขนส่งและลอจิสติกส์
        8 ความไม่ต่อเนื่องจากนโยบายของรัฐบาล
       

โดย Krerkkiat Rothomphiwat เมื่อ 14 August 2012

No comments:

Post a Comment