Wednesday, 1 May 2019

แรงงานไทยกับการพัฒนาประเทศด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง


                                              โดย เกริกเกียรติ รสหอมภิวัฒน์
                วันแรงงานแห่งชาติ หรือ วัน (May – Day ) ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุก ๆปี แต่ละปีผู้นำแรงงานจากสหภาพแรงงานหลาย ๆองค์กร จะมีกิจกรรมการจัดวันแรงงานแห่งชาติขึ้นที่ท้องสนามหลวง เนื่องจากเมื่อก่อนนี้เป็นสถานที่เปิดให้ประชาชนทำกิจกรรมได้ (ปัจจุบันเขาจัดกันที่ไหนผมไม่ได้ติดตาม) เพื่อเฉลิมฉลองและเรียกร้องสวัสดิการโดยมีการทำหนังสือเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล โดยแต่ละปีก็จะมีนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนไปเป็นประธานเปิดงานในวันแรงงานแห่งชาติเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ใช้แรงงานและรับข้อเสนอต่าง ๆที่ผู้ใช้แรงงานเรียกร้อง บางข้อก็สามารถปฏิบัติได้บางข้อก็ไม่สามารถทำได้อย่างเช่น พรบ.ประกันสังคม เราเรียกร้องกันมานานมากเท่าที่จำได้สิบกว่าปี ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นผู้นำแรงงานอยู่ (ยุคผู้นำแรงงานที่มีอุดมการณ์ อย่างไพศาล ธวัชชัยนันท์, ทะนง โพธิ์อ่าน,ปิยเชษฐ์ แคล้วคลาด,ซอเกียง แซ่ฉั่ว,และอีกหลายๆท่านที่ไม่ได้เอ๋ยนาม) เป็นยุคที่ผู้นำแรงงานใช้อุดมการณ์เพื่อผู้ใช้แรงงานจริงๆไม่มีอะไรแอบแฝง ในที่สุดข้อเรียกร้องก็สำเร็จ และประกาศใช้เมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2533 (ปัจจุบันผู้นำแรงงานยังอิงแอบการเมืองก็มีเยอะ) การเรียกร้องแต่ละครั้งสาระสำคัญที่เรียกร้องก็มีเยอะอย่างเช่นสวัสดิการเพื่อผู้ใช้แรงงาน โดยให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็หลายข้อ แต่ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มักจะนำการขอปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละเท่าโน้นเท่านี้มาเป็นลำดับต้นๆ (ตั้งแต่ผมทำงานค่าแรงวันละ 25 บาท) ปัจจุบันสามร้อยกว่าบาท ปี 2562 ซึ่งเราจะมีเหตุผลว่าค่าแรงขั้นต่ำไม่พอกับค่าครองชีพที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน เพราะอะไร? เพราะว่าแม่ค้าพ่อค้าห้างร้าน ค่าเช่า ค่าน้ำมัน ค่ารถเมล์หรือปัจจัยการดำรงชีพอื่น ๆ ทันทีที่ได้ยินว่าจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ หรือปรับขึ้นเงินเดือนภาครัฐ เอกชน เท่านั้นแหละแม่ค้าพ่อค้าผู้ค้าขายต่าง ๆ ท่านก็ชิงปรับขึ้นราคาปัจจัยการดำรงชีพไปรอไว้ก่อนอยู่แล้ว ต่อให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเพียงใดถ้าเราหยุดปัจจัยการดำรงชีพไม่ให้ขึ้นตามค่าแรงไม่ได้มันก็จะเป็นเส้นขนานคู่กันไปแบบนี้ตลอดกาลในที่สุดเงินไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษ (อนาคตปลาทูหนึ่งแข่งอาจใช้เงินหนึ่งกระสอบปุ๋ยเพื่อแลกมา) อาจกลายเป็น เวเนซุเอลา หรือ อาเจนติน่า 2 ก็ได้ในอนาคต

              อย่าลืมว่าคนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือแบรนด์ที่เป็นของตนเองปัจจุบันเราต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเราเป็นประเทศผู้รับจ้างผลิตเท่านั้น ที่เราได้คือได้ค่าแรงจากการรับจ้างผลิตสินค้าให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่และกลุ่มทุนข้ามชาติ ทุนโลกาภิวัตน์เท่านั้น กลุ่มทุนเหล่านี้เมื่อได้กำไรเขาก็ส่งกำไรจากน้ำเหงื่อน้ำพักน้ำแรงของเราไปเก็บไว้ที่บ้านเขา หรือแม้แต่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศเองล้วนแต่ส่งออกกำไรไปเก็บไว้ในต่างเทศแทบทั้งสิ้นหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเมื่อไรกลุ่มทุนเหล่านี้พร้อมที่จะย้ายฐานการผลิตได้ทุกเมื่อ หากถึงเวลานั้นเมื่อไรคนไทยก็ต้องเตรียมใจยอมรับกับมันเวลานั้นจะเป็นยุคที่ลำบากที่สุดอีกครั้ง ข้าวยากหมากแพง คนไม่มีงานทำ คนที่กอบโกยไว้ล่วงหน้าก็จะเห็นแก่ตัวเพราะเขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่น่าเสียดายครั้งหนึ่งไทยเคยมีผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตนเองคุณภาพก็ดีด้วยแต่เราขาดการพัฒนาที่ต่อเนื่องในที่สุดก็ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง คนอายุสามสิบบวกคงรู้จักหรือชาวไร่ชาวนารู้จักเป็นอย่างดีและมีกันทุกบ้านเวลาออกไปเลี้ยงวัวควายต้องพกพาติดตัวไปด้วยทุกครั้ง คำโฆษณา (เมื่อก่อนนี้เราหุงข้าวด้วยหม้อดินที่หอมกรุ่ย บัดนี้ธานินได้ค้นพบนวัตกรรมใหม่ด้วยหม้อหุงข้าวที่หุงได้กลิ่นหอมเหมือนหม้อดินแล้ว “ทุกบาทคุ้มค่าด้ายธานิน”) น่าเสียดายที่สินค้าที่ไทยทำเองผลิตเองหลายๆยี่ห้อเริ่มตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนข้ามชาติเสียแล้ว
              ฝีมือคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเมื่อก่อนเราอยู่กันอย่างมีความสุขในน้ำมีปลาในนามีข้าว ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันมีอะไรก็แบ่งกันกินไม่ต้องซื้อ หรือแม้แต่การทำงานไม่ว่าทำกิจกรรมใด ๆก็ตาม เช่นการเกษตร ปลูกที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่งานบุญใด ๆก็ตาม มักจะเป็นการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันโดยเป็นการทำแบบประเพณีลงแขก แลกแรงงานกันทำสับเปลี่ยนกันไปโดยไม่ต้องมีค่าจ้าง แต่น่าเสียดายประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ค่อยๆเสื่อมหายไปจากหัวใจคนไทย อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีและการรับรู้เลียนแบบวัฒนธรรมชาติอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้คนไทยหลงลืมความดีงามวัฒนธรรมอันล้ำค่าของตนเองไป จนทำอะไรหรือวานช่วยเหลือกันเพียงครั้งคราวหรือแม้แต่ลงแขกทำอะไรเพียงเล็กน้อยนอกจากหุงข้าวหาปลาเพื่อให้แขกได้รับประทานกันแล้วก็ยังต้องมีค่าจ้างด้วย จะลงมือทำอะไรก็ต้องมีต้นทุน ที่บอกว่าชาวนาทำนาขาดทุนก็เพราะต้นทุนแฝงเหล่านี้ได้เกิดขึ้น จึงทำให้คนไทยยุคใหม่เป็นโรคที่ไม่รู้จักความยากลำบากเป็นโรคที่ไม่รู้จักประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามดั้งเดิมของไทยเสียแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่ภูมิคุ้มกันบกพร่องในอนาคตที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เวลาเกิดวิกฤตหรือภัยพิบัติมาเยือน นำไปสู่ความอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขาหากคนอื่นมีอะไรเราต้องมีทัดเทียมเขาด้วย ไม่ได้สนใจว่ารายได้เราเพียงพอหรือไม่ในที่สุดก็ทำให้มีหนี้สินล้นพ้นตัว (ซึ่งน่าเสียดายขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามดั้งเดิมของไทย คนไทยไม่รู้จักรักษามันไว้และหายไปด้วยฝีมือของคนไทยเสียเอง) จากการสำรวจปี 2562 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สะท้อนให้เห็นภาระหนี้ที่มากขึ้นของแรงงานไทยรายได้น้อยพบว่าแรงงานไทยหนี้ท่วมหัว หนี้นอกระบบ เหตุรายได้ไม่พอรายจ่าย พบว่า แรงงานไทยมีภาระหนี้กว่าร้อยละ 95 โดยมีจำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนประมาณ 158,855.86 บาท แบ่งเป็นหนี้ในระบบร้อยละ 58.2 และหนี้นอกระบบร้อยละ 41.8 สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการกู้ ผู้ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักกับค่าใช้จ่ายประจำวัน ยานพาหนะ และค่ารักษาพยาบาล ในอัตราร้อยละ 36.8, 19 และ 15.7 ตามลำดับ
               ความฝันของแรงงานไทย หรือแม้แต่ประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ หรือผู้ประการธุรกิจเอสเอ็มอีก็ตามมัก จะฝันว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่มีการเลือกตั้งใหม่ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของพรรคการเมืองที่หาเสียงแบบลดแลกแจกแถมเอาไว้ ทำให้เรามองเห็นว่าจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเราแล้วอีกไม่นานเกินรอ แต่ประชาชนอย่างเราๆท่านๆ หารู้ไหมว่านั้นคือคำพูดคำโฆษณาชวนให้เราเคลิ้มไปด้วยความฝัน บางนโยบายนั้นอาจทำได้ หรือบางพรรคการเมืองนั้นอาจทำได้หรือไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ดูถูกฝีมือเขา อย่าลืมว่าพรรคการเมืองที่อาสามาเป็นรัฐบาล โดยผ่านการเลือกตั้งจากประชนเข้ามาไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาดที่จะมาบริหารประเทศได้ และพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นกลุ่มทุนที่อาสามาเป็นผู้แทนเราทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มทุนผูกขาดกินรวบด้านเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นเวลาช้านานแทบทั้งสิ้น พรรคไหนจะเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลกลุ่มทุนเหล่านี้เข้าไปมีส่วนร่วมหมด ฉะนั้นพวกเราอย่าหวังอะไรให้มากเลยว่าเขาจะทำเพื่อพวกเรา อย่างมากก็แค่เศษเสี้ยวจากกำไรที่เขาได้มาเท่านั้นอย่าหวังอะไรให้มากนักเลย เพราะเขาร่วมมือกันกินรวบมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
                นโยบายการศึกษาก็เป็นตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งว่าประเทศจะก้าวหน้าหรือถดถอยก็อยู่ที่นโยบายการศึกษา ภาคธุรกิจได้ให้คำแนะนำแก่ภาครัฐ มาอย่างต่อเนื่องว่านโยบายการศึกษาควรเน้นผลิตบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานให้มากโดยเน้นสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สายอุตสาหกรรม ให้มากขึ้น เน้นสายสังคมศาสตร์ให้น้อยลง แต่พอบัณฑิตจบมาแล้วก็ยังมีสาย สายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สายอุตสาหกรรม แค่ประมาณ 30% สังคมศาสตร์ 70% ในแต่ละปีบัณฑิตจบใหม่ถึง 400,000 คนแต่หางานทำไม่ได้เพราะไม่ตรงตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการทั้ง ๆที่ ภาคอุตสาหกรรมมีตำแหน่งงานว่าง ถึง 3 – 400,000 คน ในที่สุดภาคอุตสาหกรรมรอไม่ไหว ก็ต้องไปเปิดสถาบันการศึกษาเป็นของเองเพื่อป้อนให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมของตนเองและอุตสาหกรรมในเครือ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม CP กลุ่ม TOYOTA กลุ่ม ปตท. เป็นต้น สถาบันการศึกษาเหล่านี้เน้นผลิตบัณฑิตที่ตรงตามสายงานจบไปก็สามารถทำงานได้เลยโดยไม่ต้องสอนมาก  โดยเขาเน้นที่วิถีการดำเนินชีวิต วิถีการผลิต จริยธรรม และวัฒนธรรมขององค์การเป็นสำคัญเมื่อจบไปแล้วจะเห็นบัณฑิตเหล่านี้มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกันเหมือนถูกหล่อหลอมให้เป็น DNA เดียวกันมาแล้ว ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับญาติที่อยู่ทางยุโรป เขาบอกว่าตอนนี้ประเทศทางยุโรปในหลายๆประเทศ ได้บรรจุวิชาพุทธศาสตร์ ลงในหลักสูตรของกะทรวงศึกษาแล้วซึ่งฟังแล้วก็ชื่นใจ
                 ประเทศชาติ(ไทย)ของเราเดินทางมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ใครมาเป็นรัฐบาลก็ตามควรจะต้องรู้แล้วว่า สมควรที่จะนำพาประเทศชาติเดินไปในทิศทางใดตามวิถีทางที่เราถนัด เราจะไปเดินตามประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ได้เพราะเราเดินทางมาช้ากว่าเขาและเราก็หลงทางมาเป็นเวลาช้านาน เราเป็นประเทศเกษตรกรรมตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่ “เทรนด์เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ สร้างผลผลิตเกษตรคุณภาพในระดับโลก” กำลังตกอยู่ในมือกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ไม่ได้อยู่ในมือเกษตรกรรายย่อย ประเทศเยอรมนี เป็นประเทศที่เริ่มต้นก่อสงครามทุกครั้ง แต่ก็เป็นประเทศที่แพ้สงครามทั้งทุกครั้ง ในที่สุดเขาก็พิสูจน์เนื้อในของเขาเองว่าสงครามนั้นไม่ได้สร้างความสงบสุขหรือความเจริญให้แก่มวลมนุษยชาติใด ๆในโลกมีแต่สร้างความหายนะให้แก่ประเทศชาติทำลายล้างเผ่าพันธ์โดยไม่รู้จักจบสิ้น และเขาสารภาพบาปร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันอดทนต่อสู้ต่ออุปสรรคนานาประการเพื่อพัฒนาประเทศชาติจนประสบความสำเร็จรวมเยอรมันเป็นหนึ่งเดียวจนเป็นอภิมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของโลก ซึ่งเขารู้ตัวว่าเขาพลาดในเรื่องใดและมีความถนัดในเรื่องใด คนเราถ้ารู้จักว่าตนเองถนัดเก่งเรื่องใด และล้มเหลวเรื่องใด แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นคนมีสติ   สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง
           BBC ได้วิจัยพบว่า คนเยอรมันจะมีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในสายเลือด โดยได้ค้นพบว่า
     1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่าย ๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่าย ๆ เช่นกัน
    2.สามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
    3.ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
    4.คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
    5.คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
     6.เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ ...เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
     7.การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพเพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
    8.ระดับองค์กร ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกะทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท  อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
   9.พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด  
             ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่แพ้สงคราม หลังสงครามใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าช่วงหนึ่งญี่ปุ่นต้องเร่งผลิตสินค้าออกมามาก ๆ เพื่อจ่ายออกไปแทนค่าปฏิกรรมสงคราม จนคุณภาพสินค้าห่วยมาก ๆ จนถึงขนาดมีการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็รู้ตัวตนของตนเองว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีความร่วมมือกลมเกลียวกันรักสามัคคีกันรวมกันสร้างวัฒนธรรมที่ดี จะเห็นได้ว่าการเรียนในโรงเรียนญี่ปุ่นอนุบาล-ประถม สามปีแรกจะมุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียนจะไม่เน้นวิชาการมากนัก เพื่อหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว จนเป็น DNA เดียวกัน ในที่สุดญี่ปุ่นก็ประสบความสำเร็จในด้านเศรฐกิจสร้างสินค้าที่มีคุณในอันต้นๆเป็นประเทศอภิมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจของโลก   
           ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นผู้ถนัดและเริ่มลงมือทำสินค้าอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น เราเป็นประเภทมือปืนรับจ้าง คือรับจ้างผลิตสินค้าให้คนอื่นเพื่อรับค่าแรงมูลค่าส่วนเกินเป็นของผู้ว่าจ้างให้เราผลิต เครื่องจักรอุปกรณ์การผลิต วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตล้วนแต่เป็นของทุนข้ามชาติแทบทั้งสิ้น เราลงทุนซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์การผลิต วัตถุดิบและปัจจัยการผลิต ที่มีราคาแพงเพื่อมารับจ้างผลิตสินค้าให้เขาแล้วกำไรส่วนเกินที่มีมูลค่าเราจะเอาจากไหนส่วนนี้ไปอยู่ในมือเขาหมด เราต้องสำรวจตัวเองตั้งสติให้ได้เหมือนประเทศเยอรมันว่าเรามีความถนัดในเรื่องใด คนเราถ้ารู้จักว่าตนเองถนัดเก่งเรื่องใด และล้มเหลวเรื่องใด แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นคนมีสติ   สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง เราควรนำแรงงานของประเทศมาฝึกฝนเพื่อผลิตสินค้าของตนเองที่เราถนัดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่เราต้องมีนวัตกรรมการผลิตที่ดีมีคุณภาพ มีความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค เน้นสร้างอุปกรณ์การผลิตให้ครบวงจรซึ่งฝีมือคนไทยเราทำได้อยู่แล้ว แม้ปัจจุบันสินค้าประเภทอาหาร ผลิตผลทางการเกษตรของไทยก็ยังมีชื่อเสียงอันดับต้นๆต่อชาวโลกอยู่เราไม่ควรเสียเวลาที่จะเริ่มต้นเราสามารถเริ่มได้ทันที่ แรงงานเหล่านี้ที่เราสร้างขึ้นบางส่วนเขามีที่ดินปัจจัยการผลิตอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดองค์ความรู้ การตลาด ซึ่งภาครัฐควรเอาใจใส่และสนับสนุนทั้งอุปกรณ์การผลิต วิชาการและงบประมาณให้แก่ภาคการผลิตเหล่านี้ เราไม่ต้องหลงทางรับจ้างคนอื่นผลิตอีกแล้วเราควรตาสว่างได้แล้ว อย่าไปสนับสนุนกลุ่มทุนขนาดใหญ่เลยเขาร่ำรวยแล้ว ภาครัฐควรให้การสนับสนุน เกษตรกร เอสเอ็มอี ของไทยอย่างจริงจังเสียที เราพัฒนาอาหาร สินค้าเกษตรแบบวิถีพอเพียงของเราที่มีคุณภาพอย่าเน้นปริมาณ ในที่สุดเราก็จะเป็นประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจด้านอาหารของโลกเสียที คนไทยทำได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก

No comments:

Post a Comment