โดย เกริกเกียรติ รสหอมภิวัฒน์
วันแรงงานแห่งชาติ
หรือ วัน (May
– Day ) ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุก ๆปี
แต่ละปีผู้นำแรงงานจากสหภาพแรงงานหลาย ๆองค์กร จะมีกิจกรรมการจัดวันแรงงานแห่งชาติขึ้นที่ท้องสนามหลวง
เนื่องจากเมื่อก่อนนี้เป็นสถานที่เปิดให้ประชาชนทำกิจกรรมได้
(ปัจจุบันเขาจัดกันที่ไหนผมไม่ได้ติดตาม)
เพื่อเฉลิมฉลองและเรียกร้องสวัสดิการโดยมีการทำหนังสือเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล
โดยแต่ละปีก็จะมีนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนไปเป็นประธานเปิดงานในวันแรงงานแห่งชาติเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ใช้แรงงานและรับข้อเสนอต่าง
ๆที่ผู้ใช้แรงงานเรียกร้อง บางข้อก็สามารถปฏิบัติได้บางข้อก็ไม่สามารถทำได้อย่างเช่น
พรบ.ประกันสังคม เราเรียกร้องกันมานานมากเท่าที่จำได้สิบกว่าปี ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นผู้นำแรงงานอยู่
(ยุคผู้นำแรงงานที่มีอุดมการณ์ อย่างไพศาล ธวัชชัยนันท์, ทะนง
โพธิ์อ่าน,ปิยเชษฐ์ แคล้วคลาด,ซอเกียง
แซ่ฉั่ว,และอีกหลายๆท่านที่ไม่ได้เอ๋ยนาม)
เป็นยุคที่ผู้นำแรงงานใช้อุดมการณ์เพื่อผู้ใช้แรงงานจริงๆไม่มีอะไรแอบแฝง ในที่สุดข้อเรียกร้องก็สำเร็จ
และประกาศใช้เมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2533 (ปัจจุบันผู้นำแรงงานยังอิงแอบการเมืองก็มีเยอะ)
การเรียกร้องแต่ละครั้งสาระสำคัญที่เรียกร้องก็มีเยอะอย่างเช่นสวัสดิการเพื่อผู้ใช้แรงงาน
โดยให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็หลายข้อ แต่ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มักจะนำการขอปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละเท่าโน้นเท่านี้มาเป็นลำดับต้นๆ
(ตั้งแต่ผมทำงานค่าแรงวันละ 25 บาท) ปัจจุบันสามร้อยกว่าบาท
ปี 2562 ซึ่งเราจะมีเหตุผลว่าค่าแรงขั้นต่ำไม่พอกับค่าครองชีพที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
เพราะอะไร? เพราะว่าแม่ค้าพ่อค้าห้างร้าน ค่าเช่า ค่าน้ำมัน ค่ารถเมล์หรือปัจจัยการดำรงชีพอื่น
ๆ ทันทีที่ได้ยินว่าจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ หรือปรับขึ้นเงินเดือนภาครัฐ เอกชน
เท่านั้นแหละแม่ค้าพ่อค้าผู้ค้าขายต่าง ๆ ท่านก็ชิงปรับขึ้นราคาปัจจัยการดำรงชีพไปรอไว้ก่อนอยู่แล้ว
ต่อให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเพียงใดถ้าเราหยุดปัจจัยการดำรงชีพไม่ให้ขึ้นตามค่าแรงไม่ได้มันก็จะเป็นเส้นขนานคู่กันไปแบบนี้ตลอดกาลในที่สุดเงินไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษ
(อนาคตปลาทูหนึ่งแข่งอาจใช้เงินหนึ่งกระสอบปุ๋ยเพื่อแลกมา) อาจกลายเป็น เวเนซุเอลา
หรือ อาเจนติน่า 2 ก็ได้ในอนาคต
อย่าลืมว่าคนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือแบรนด์ที่เป็นของตนเองปัจจุบันเราต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเราเป็นประเทศผู้รับจ้างผลิตเท่านั้น
ที่เราได้คือได้ค่าแรงจากการรับจ้างผลิตสินค้าให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่และกลุ่มทุนข้ามชาติ
ทุนโลกาภิวัตน์เท่านั้น กลุ่มทุนเหล่านี้เมื่อได้กำไรเขาก็ส่งกำไรจากน้ำเหงื่อน้ำพักน้ำแรงของเราไปเก็บไว้ที่บ้านเขา
หรือแม้แต่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศเองล้วนแต่ส่งออกกำไรไปเก็บไว้ในต่างเทศแทบทั้งสิ้นหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเมื่อไรกลุ่มทุนเหล่านี้พร้อมที่จะย้ายฐานการผลิตได้ทุกเมื่อ
หากถึงเวลานั้นเมื่อไรคนไทยก็ต้องเตรียมใจยอมรับกับมันเวลานั้นจะเป็นยุคที่ลำบากที่สุดอีกครั้ง
ข้าวยากหมากแพง คนไม่มีงานทำ
คนที่กอบโกยไว้ล่วงหน้าก็จะเห็นแก่ตัวเพราะเขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่น่าเสียดายครั้งหนึ่งไทยเคยมีผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตนเองคุณภาพก็ดีด้วยแต่เราขาดการพัฒนาที่ต่อเนื่องในที่สุดก็ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง
คนอายุสามสิบบวกคงรู้จักหรือชาวไร่ชาวนารู้จักเป็นอย่างดีและมีกันทุกบ้านเวลาออกไปเลี้ยงวัวควายต้องพกพาติดตัวไปด้วยทุกครั้ง
คำโฆษณา (เมื่อก่อนนี้เราหุงข้าวด้วยหม้อดินที่หอมกรุ่ย
บัดนี้ธานินได้ค้นพบนวัตกรรมใหม่ด้วยหม้อหุงข้าวที่หุงได้กลิ่นหอมเหมือนหม้อดินแล้ว
“ทุกบาทคุ้มค่าด้ายธานิน”) น่าเสียดายที่สินค้าที่ไทยทำเองผลิตเองหลายๆยี่ห้อเริ่มตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนข้ามชาติเสียแล้ว
ฝีมือคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเมื่อก่อนเราอยู่กันอย่างมีความสุขในน้ำมีปลาในนามีข้าว
ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันมีอะไรก็แบ่งกันกินไม่ต้องซื้อ หรือแม้แต่การทำงานไม่ว่าทำกิจกรรมใด
ๆก็ตาม เช่นการเกษตร ปลูกที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่งานบุญใด ๆก็ตาม มักจะเป็นการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันโดยเป็นการทำแบบประเพณีลงแขก
แลกแรงงานกันทำสับเปลี่ยนกันไปโดยไม่ต้องมีค่าจ้าง แต่น่าเสียดายประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ค่อยๆเสื่อมหายไปจากหัวใจคนไทย
อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีและการรับรู้เลียนแบบวัฒนธรรมชาติอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทำให้คนไทยหลงลืมความดีงามวัฒนธรรมอันล้ำค่าของตนเองไป
จนทำอะไรหรือวานช่วยเหลือกันเพียงครั้งคราวหรือแม้แต่ลงแขกทำอะไรเพียงเล็กน้อยนอกจากหุงข้าวหาปลาเพื่อให้แขกได้รับประทานกันแล้วก็ยังต้องมีค่าจ้างด้วย
จะลงมือทำอะไรก็ต้องมีต้นทุน
ที่บอกว่าชาวนาทำนาขาดทุนก็เพราะต้นทุนแฝงเหล่านี้ได้เกิดขึ้น
จึงทำให้คนไทยยุคใหม่เป็นโรคที่ไม่รู้จักความยากลำบากเป็นโรคที่ไม่รู้จักประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามดั้งเดิมของไทยเสียแล้ว
ซึ่งจะนำไปสู่ภูมิคุ้มกันบกพร่องในอนาคตที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เวลาเกิดวิกฤตหรือภัยพิบัติมาเยือน
นำไปสู่ความอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขาหากคนอื่นมีอะไรเราต้องมีทัดเทียมเขาด้วย
ไม่ได้สนใจว่ารายได้เราเพียงพอหรือไม่ในที่สุดก็ทำให้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(ซึ่งน่าเสียดายขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามดั้งเดิมของไทย
คนไทยไม่รู้จักรักษามันไว้และหายไปด้วยฝีมือของคนไทยเสียเอง) จากการสำรวจปี 2562 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สะท้อนให้เห็นภาระหนี้ที่มากขึ้นของแรงงานไทยรายได้น้อยพบว่าแรงงานไทยหนี้ท่วมหัว
หนี้นอกระบบ เหตุรายได้ไม่พอรายจ่าย พบว่า แรงงานไทยมีภาระหนี้กว่าร้อยละ 95 โดยมีจำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนประมาณ
158,855.86 บาท แบ่งเป็นหนี้ในระบบร้อยละ 58.2 และหนี้นอกระบบร้อยละ 41.8 สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการกู้
ผู้ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักกับค่าใช้จ่ายประจำวัน ยานพาหนะ และค่ารักษาพยาบาล
ในอัตราร้อยละ 36.8, 19 และ 15.7 ตามลำดับ
ความฝันของแรงงานไทย
หรือแม้แต่ประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ หรือผู้ประการธุรกิจเอสเอ็มอีก็ตามมัก จะฝันว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่มีการเลือกตั้งใหม่ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของพรรคการเมืองที่หาเสียงแบบลดแลกแจกแถมเอาไว้
ทำให้เรามองเห็นว่าจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเราแล้วอีกไม่นานเกินรอ แต่ประชาชนอย่างเราๆท่านๆ
หารู้ไหมว่านั้นคือคำพูดคำโฆษณาชวนให้เราเคลิ้มไปด้วยความฝัน
บางนโยบายนั้นอาจทำได้
หรือบางพรรคการเมืองนั้นอาจทำได้หรือไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ดูถูกฝีมือเขา
อย่าลืมว่าพรรคการเมืองที่อาสามาเป็นรัฐบาล โดยผ่านการเลือกตั้งจากประชนเข้ามาไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาดที่จะมาบริหารประเทศได้
และพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นกลุ่มทุนที่อาสามาเป็นผู้แทนเราทั้งสิ้น
ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มทุนผูกขาดกินรวบด้านเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นเวลาช้านานแทบทั้งสิ้น
พรรคไหนจะเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลกลุ่มทุนเหล่านี้เข้าไปมีส่วนร่วมหมด ฉะนั้นพวกเราอย่าหวังอะไรให้มากเลยว่าเขาจะทำเพื่อพวกเรา
อย่างมากก็แค่เศษเสี้ยวจากกำไรที่เขาได้มาเท่านั้นอย่าหวังอะไรให้มากนักเลย
เพราะเขาร่วมมือกันกินรวบมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
นโยบายการศึกษาก็เป็นตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งว่าประเทศจะก้าวหน้าหรือถดถอยก็อยู่ที่นโยบายการศึกษา
ภาคธุรกิจได้ให้คำแนะนำแก่ภาครัฐ
มาอย่างต่อเนื่องว่านโยบายการศึกษาควรเน้นผลิตบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานให้มากโดยเน้นสายวิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์ สายอุตสาหกรรม ให้มากขึ้น เน้นสายสังคมศาสตร์ให้น้อยลง
แต่พอบัณฑิตจบมาแล้วก็ยังมีสาย สายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สายอุตสาหกรรม
แค่ประมาณ 30%
สังคมศาสตร์ 70% ในแต่ละปีบัณฑิตจบใหม่ถึง 400,000 คนแต่หางานทำไม่ได้เพราะไม่ตรงตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการทั้ง ๆที่ ภาคอุตสาหกรรมมีตำแหน่งงานว่าง
ถึง 3 – 400,000 คน ในที่สุดภาคอุตสาหกรรมรอไม่ไหว
ก็ต้องไปเปิดสถาบันการศึกษาเป็นของเองเพื่อป้อนให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมของตนเองและอุตสาหกรรมในเครือ
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม CP กลุ่ม TOYOTA กลุ่ม
ปตท. เป็นต้น
สถาบันการศึกษาเหล่านี้เน้นผลิตบัณฑิตที่ตรงตามสายงานจบไปก็สามารถทำงานได้เลยโดยไม่ต้องสอนมาก
โดยเขาเน้นที่วิถีการดำเนินชีวิต
วิถีการผลิต จริยธรรม และวัฒนธรรมขององค์การเป็นสำคัญเมื่อจบไปแล้วจะเห็นบัณฑิตเหล่านี้มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกันเหมือนถูกหล่อหลอมให้เป็น
DNA เดียวกันมาแล้ว
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับญาติที่อยู่ทางยุโรป เขาบอกว่าตอนนี้ประเทศทางยุโรปในหลายๆประเทศ
ได้บรรจุวิชาพุทธศาสตร์ ลงในหลักสูตรของกะทรวงศึกษาแล้วซึ่งฟังแล้วก็ชื่นใจ
ประเทศชาติ(ไทย)ของเราเดินทางมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว
ใครมาเป็นรัฐบาลก็ตามควรจะต้องรู้แล้วว่า สมควรที่จะนำพาประเทศชาติเดินไปในทิศทางใดตามวิถีทางที่เราถนัด
เราจะไปเดินตามประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ได้เพราะเราเดินทางมาช้ากว่าเขาและเราก็หลงทางมาเป็นเวลาช้านาน
เราเป็นประเทศเกษตรกรรมตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่ “เทรนด์เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ สร้างผลผลิตเกษตรคุณภาพในระดับโลก”
กำลังตกอยู่ในมือกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ไม่ได้อยู่ในมือเกษตรกรรายย่อย ประเทศเยอรมนี เป็นประเทศที่เริ่มต้นก่อสงครามทุกครั้ง
แต่ก็เป็นประเทศที่แพ้สงครามทั้งทุกครั้ง ในที่สุดเขาก็พิสูจน์เนื้อในของเขาเองว่าสงครามนั้นไม่ได้สร้างความสงบสุขหรือความเจริญให้แก่มวลมนุษยชาติใด
ๆในโลกมีแต่สร้างความหายนะให้แก่ประเทศชาติทำลายล้างเผ่าพันธ์โดยไม่รู้จักจบสิ้น
และเขาสารภาพบาปร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันอดทนต่อสู้ต่ออุปสรรคนานาประการเพื่อพัฒนาประเทศชาติจนประสบความสำเร็จรวมเยอรมันเป็นหนึ่งเดียวจนเป็นอภิมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของโลก
ซึ่งเขารู้ตัวว่าเขาพลาดในเรื่องใดและมีความถนัดในเรื่องใด
คนเราถ้ารู้จักว่าตนเองถนัดเก่งเรื่องใด และล้มเหลวเรื่องใด
แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นคนมีสติ สติ
ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ
หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง
BBC ได้วิจัยพบว่า
คนเยอรมันจะมีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในสายเลือด โดยได้ค้นพบว่า
1.
ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป
ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่าย
ๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่าย ๆ เช่นกัน
2.สามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
3.ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
4.คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ
เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
5.คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น
ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม
เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
6.เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน
คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ
ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ
...เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
7.การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา
จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที
ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพเพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
8.ระดับองค์กร ในยามยากของเศรษฐกิจ
บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกะทันหัน
เพื่อความอยู่รอดของบริษัท อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน
เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
9.พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด
สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด
ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่แพ้สงคราม หลังสงครามใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าช่วงหนึ่งญี่ปุ่นต้องเร่งผลิตสินค้าออกมามาก
ๆ เพื่อจ่ายออกไปแทนค่าปฏิกรรมสงคราม จนคุณภาพสินค้าห่วยมาก ๆ
จนถึงขนาดมีการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็รู้ตัวตนของตนเองว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้
โดยมีความร่วมมือกลมเกลียวกันรักสามัคคีกันรวมกันสร้างวัฒนธรรมที่ดี
จะเห็นได้ว่าการเรียนในโรงเรียนญี่ปุ่นอนุบาล-ประถม สามปีแรกจะมุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียนจะไม่เน้นวิชาการมากนัก
เพื่อหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว จนเป็น DNA เดียวกัน ในที่สุดญี่ปุ่นก็ประสบความสำเร็จในด้านเศรฐกิจสร้างสินค้าที่มีคุณในอันต้นๆเป็นประเทศอภิมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจของโลก
ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นผู้ถนัดและเริ่มลงมือทำสินค้าอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น
เราเป็นประเภทมือปืนรับจ้าง
คือรับจ้างผลิตสินค้าให้คนอื่นเพื่อรับค่าแรงมูลค่าส่วนเกินเป็นของผู้ว่าจ้างให้เราผลิต
เครื่องจักรอุปกรณ์การผลิต วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตล้วนแต่เป็นของทุนข้ามชาติแทบทั้งสิ้น
เราลงทุนซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์การผลิต วัตถุดิบและปัจจัยการผลิต
ที่มีราคาแพงเพื่อมารับจ้างผลิตสินค้าให้เขาแล้วกำไรส่วนเกินที่มีมูลค่าเราจะเอาจากไหนส่วนนี้ไปอยู่ในมือเขาหมด
เราต้องสำรวจตัวเองตั้งสติให้ได้เหมือนประเทศเยอรมันว่าเรามีความถนัดในเรื่องใด
คนเราถ้ารู้จักว่าตนเองถนัดเก่งเรื่องใด และล้มเหลวเรื่องใด
แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นคนมีสติ สติ
ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้,
ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ
หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง เราควรนำแรงงานของประเทศมาฝึกฝนเพื่อผลิตสินค้าของตนเองที่เราถนัดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ
แต่เราต้องมีนวัตกรรมการผลิตที่ดีมีคุณภาพ มีความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค
เน้นสร้างอุปกรณ์การผลิตให้ครบวงจรซึ่งฝีมือคนไทยเราทำได้อยู่แล้ว
แม้ปัจจุบันสินค้าประเภทอาหาร
ผลิตผลทางการเกษตรของไทยก็ยังมีชื่อเสียงอันดับต้นๆต่อชาวโลกอยู่เราไม่ควรเสียเวลาที่จะเริ่มต้นเราสามารถเริ่มได้ทันที่
แรงงานเหล่านี้ที่เราสร้างขึ้นบางส่วนเขามีที่ดินปัจจัยการผลิตอยู่แล้ว
เพียงแต่ขาดองค์ความรู้ การตลาด
ซึ่งภาครัฐควรเอาใจใส่และสนับสนุนทั้งอุปกรณ์การผลิต
วิชาการและงบประมาณให้แก่ภาคการผลิตเหล่านี้ เราไม่ต้องหลงทางรับจ้างคนอื่นผลิตอีกแล้วเราควรตาสว่างได้แล้ว
อย่าไปสนับสนุนกลุ่มทุนขนาดใหญ่เลยเขาร่ำรวยแล้ว ภาครัฐควรให้การสนับสนุน เกษตรกร
เอสเอ็มอี ของไทยอย่างจริงจังเสียที เราพัฒนาอาหาร สินค้าเกษตรแบบวิถีพอเพียงของเราที่มีคุณภาพอย่าเน้นปริมาณ
ในที่สุดเราก็จะเป็นประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจด้านอาหารของโลกเสียที
คนไทยทำได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
No comments:
Post a Comment