ที่จริงแล้วในปีนี้เป็นปี พ.ศ.2556 นับตั้งแต่ปี 2554 ที่รัฐบาลยุคปัจจุบันชนะการเลือกตั้งมาและก็บริหารประเทศมาเกือบครบ 2 ปีแล้วและรัฐบาลก็ได้ทำตาม ทฤษฎี 2 สูง “ทางเลือกสุดท้าย ทางรอดประเทศ” ของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) แล้วโดยให้มีการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 – 20,000 บาท หรือตกกิโลกรัมละ 15-20 บาท (ข้าวเปลือก)ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา และค่าแรงขั้นต่ำก็ปรับเป็นวันละ 300 บาท กรุงเทพฯและปริมณฑล 7 จังหวัดเริ่มมีผล เมษายน 2555 ส่วนจังหวัดที่เหลือทั่วประเทศมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นมา ผมซึ่งอยู่ในฐานะผู้ประกอบการก็ต้องยอมรับว่าทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามมา แต่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าและลูกจ้างมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลก็ต้องยอม ไม่ได้โต้แย้งอะไรพร้อมให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่แม้ผู้ประกอบการ SMEs บางรายจะเดือดร้อนแต่ก็พากันอดทนหวังว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวก็ทำให้ SMEs อย่างพวกเราได้รับอานิสงค์ด้วย แต่เมื่อรอการพิสูจน์มาสักพักหนึ่ง 3-4 เดือน ปรากฏว่า ทฤษฎี 2 สูง “ทางเลือกสุดท้าย ทางรอดประเทศ” ของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัว แห่งซีพีไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้เลยจริงอยู่เศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัว แต่ค่าครองชีพไม่ได้หยุดนิ่งราคาสินค้ามีการปรับตัวตามค่าแรงขั้นต่ำหลายเท่าตัวทีเดียว ตัวอย่างง่ายๆอาหารเช้าที่เคยรับประทานทุกเสาร์-อาทิตย์ ก่อนเข้ารับฟังการบรรยายที่มหาวิทยาลัย ข้าว 1 ถ้วย เกาเหลาหมู 1 ชาม น้ำดื่ม 1 ขวด ราคาเดิมก่อนปรับค่าแรงขั้นต่ำ 48 บาทแต่หลังปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็น 75 บาทเพิ่มขึ้นตั้ง 27 บาทหรือ 56.25 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับอาหาร 3 มื้อตก 225 บาทถ้าค่าแรง 300 บาทเหลือเงิน 75 บาทไหนจะค่ารถไปทำงาน ค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟก็ไม่พอแล้วเท่ากับว่า ทฤษฎี 2 สูง ใช้ไม่ได้ผลเลย มันเป็นเหมือนกระแสอื่น เช่นเดียวกับกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้กลุ่มเกษตรกรแห่วิ่งตาม แต่กลับต้องเสียเงินลงทุนทางการเกษตรเพิ่มขึ้นในเมื่อต้นทุนสูงขึ้น ราคาผลผลิตสูงขึ้นมันจะมีประโยชน์อะไร ชาวนายังอยู่บนความเสี่ยงของราคา ซึ่งถ้าคิดไปแล้วนับเป็นเรื่องดีสำหรับกลุ่มเกษตรที่มุ่งทำเกษตรเชิงเดี่ยว ทำการเกษตรตามกระแส ซึ่งต้องเท้าความว่าบ้านเมืองเราเป็นเมืองเกษตรกรรมทำกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด แต่เกษตรสมัยก่อนนั้นเป็นเกษตรทำเพื่อกิน แลกเปลี่ยน การขายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำกันในสมัยก่อนมันแสดงถึงความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ช่วงหลังโลกมันเจริญขึ้น การทำการเกษตรก็เปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก ต้องทำเพื่อเงินทองนำเงินมาพัฒนาประเทศ เกษตรกรเราก็หลงจนกลายเป็นเบี้ยล่าง แต่ก่อนบ้านเราปุ๋ยยาไม่มีใครรู้จัก ตอนหลังมันกลายเป็นเกษตรกรรมเพื่อการค้า ปลูกอะไรบ้างแล้วขายได้ เน้นเพียงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ช่วงหลังเราก็ถูกคนข้างนอกบงการ กลายเป็นทาสของนายทุน ทุกอย่างต้องซื้อ ทั้งเมล็ดพันธุ์ น้ำมัน ต้นทุนเกี่ยวกับปัจจัยการผลิต ในปัจจุบันนี้มีพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ออกมามากมาย แต่ต้องมีการลงทุน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เจ้าของนากลายเป็นผู้จัดการนา โดยมีผู้ร่วมลงทุนหลายรายเข้ามา เช่น ธ.ก.ส.หรือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ญี่ปุ่นส่งรถไถนา เยอรมนีส่งยาฆ่าแมลง เกาหลีส่งปุ๋ยเคมี และอีกอย่างที่ตามมาคือ ความเสี่ยง ซึ่งเกษตรกรต้องแบกรับไว้เต็มๆ ทุกวันนี้การเกษตรมันเป็นการลงทุน มันมีความเสี่ยง เช่นถ้าเกิดภัยธรรมชาติ ฝนแล้ง น้ำท่วม เกษตรกรต้องแบกรับเอง ผู้จัดการนาก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินมากขึ้นทุกปี ไม่รู้ว่าเกษตรกรจะมีทางรอดอย่างไร มีทางหลุดหนี้สินอย่างไร เกษตรกรมากกว่า 90% ติดหนี้สินและไม่มีทางออก ทั้งยังมาถึงเรื่องสุขภาพ คนเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น เพราะอาหารมาจากผลผลิตการเกษตร แล้วถ้ามีสารเคมี ก็จะเกิดการสะสมสารเคมี กลายเป็นพิษภัยต่อร่างกายพวกนี้ก็มาจากเรื่องอาหาร สิ่งแวดล้อม
ทางรอดไม่ใช่การวิ่งเหมือนสิ่งที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่อย่างซีพีบอก
เราต้องสร้างทางเลือก ต้องสร้างเกษตรที่เป็นทางเลือก
เป็นอิสระอย่างเช่นเกษตรอินทรีย์ สินค้าเกษตรอินทรีย์สามารถขายได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงนายหน้า
เวลาขายของไม่ต้องไปถึงตลาดก็มีคนมาถามซื้อถึงบ้าน คือถ้ามาในแนวเกษตรทางเลือก
เราจะเป็นอิสระจากกลุ่มทุน ไม่ต้องเป็นทาสของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ สมมุติถ้าเงินเดือนแพง
แล้วสินค้าแพงตาม ทุกอย่างก็เท่าเดิม สิ่งที่สำคัญคือเราต้องพลิกตัวออกจากกระแส
อย่างเช่น เราเป็นลูกค้าของตลาด เราต้องทำให้ตลาดเป็นลูกค้า
เราต้องปลูกพืชเพื่อขายในตลาดนั้น อย่าเป็นทาสของนายทุน ที่จริงเกษตรทางเลือกหรือเกษตรอินทรีย์มันเหมาะกับนิสัยคนไทยอยู่แล้วเพราะอะไร
เพราะคนไทยรักความเป็นอิสระ (ความเป็นอิสระนิยม) ชอบทำอะไรโดยลำพังตนเอง
ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับตนมากนัก ไม่ชอบการถูกบังคับหรือตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนอื่น
คนไทยส่วนมากขาดระเบียบวินัยหรือกฏเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต
ไม่ชอบทำงานมากหรือทำงานแบบเต็มเวลา หรือทำงานเพื่อให้ได้ผลผลิตมากๆ(Mass
Production)ซึ่งไม่เหมาะกับคนไทยอยู่แล้ว
ดังนั้นเกษตรอินทรีย์จึงเหมาะกับวิถีชีวิตของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
คือไม่ผลิตเป็นจำนวนมาก ลองย้อนกลับไปดูวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย วิถีการผลิตเกษตรของคนไทยตั้งแต่บรรพบุรุษคือการผลิตเพื่อเลี้ยงดูชุมชน
ลูกหลาน บนวิถีการผลิตแฝงด้วยนัยของการรักษาไว้ไว้ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติและทรัพยากรท้องถิ่น
วัฒนธรรมที่สั่งสมมาเป็นร้อยปีกลายเป็นรากฐานที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันของคนที่เอื้อเฟื้อแบ่งปันเป็นสังคมเนื้อเดียวกัน
ผลิตออกมาเป็นจำนวนน้อยแต่มีคุณภาพ เกษตรทางเลือกที่ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี
เราใช้สิ่งที่เรามีอยู่ในท้องถิ่น
ปลูกข้าวพืชผักไม่ได้มีแบบแผนอะไรให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
นี่และคือทางรอดเดียวของเราที่ไม่ต้องอยู่บนความไม่แน่นอนของราคาต้นทุนการผลิต
ราคาขายเพราะเราผลิตเพื่อกินเองหรือแลกเปลี่ยนกันในท้องถิ่นเราก็ไม่มีภาระอะไร ทางรอด
ทางเลือกในยุคที่สินค้าเกษตรตอบสนองเพียงกลไกตลาดไม่ใช่คุณภาพชีวิตของผู้บริโภค
เกษตรทางเลือกจึงเป็นเสมือนหนทางหนึ่งที่นำเสนอทางเลือกสำหรับชีวิตใหม่ในการดำรงตนอยู่กับความพอเพียง
และรักษาไว้ซึ่งวิถีแห่งวัฒนธรรมชุมชนให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่จำเป็นต้องไปรับจำนำข้าวให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินเพราะผลผลิตเรามีน้อยแต่มีคุณภาพซึ่งจะขายราคาเท่าไรผู้บริโภคก็ต้องยอมจ่ายยอมซื้อหาเพราะถ้าไม่ซื้อก็ไม่มีกินเพราะของมีจำนวนจำกัด
ถึงเวลาที่คนไทยหรือเกษตรกรไทยต้องหันกลับมามองตัวเองพิจารณาตัวเองว่าเราสมควรจะอยู่จุดไหน
Position ไหนในตลาดโลกอย่าวิ่งตามกระแสกลุ่มทุนเดี่ยวเราจะตกที่นั่งลำบากไม่เช่นนั้นแล้วไร่นาก็จะตกไปอยู่กับกลุ่มนายทุนทั้งหมดเราก็อาจจะกลายเป็นลูกจ้างรับจ้างทำนาให้กับนายทุนต่างชาติในที่สุด